green and brown plant on water

กราบพระ สรงน้ำด้วยภาคทิพย์ เนื่องในวันสงกรานต์

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ 13 เมษายน 2568

เรื่อง กราบพระ สรงน้ำด้วยภาคทิพย์ เนื่องในวันสงกรานต์

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม สติรู้ตัวทั่วร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดไปถึงปลายเท้า ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงศีรษะ ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกว่าเราปลดปล่อยความรู้สึก ความยึดผัสสะในร่างกายทั้งหมดออกไป ตัดกาย ตัดขันธ์ห้า พร้อมกับความรู้สึก ตัดผัสสะ คือตัดอายตนะ เพื่อเข้าถึงการแยกกาย แยกจิต แยกรูป แยกนาม ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย นิ่งสู่ความสงบ

เมื่อจิตรวมลงสู่ความสงบดีแล้ว เราเดินสมถะเข้าสู่อานาปานสติ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจราบรื่นละเอียด กำหนดความรู้สึกว่าลมที่เราหายใจเข้าออกนั้น เป็นปราณ เป็นพลังชีวิต เป็นพลังงานจากธรรมชาติเข้ามาหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์

ติดตามดู ติดตามรู้ในลมหายใจตลอดทั้งสาย ตลอดทั้งกองลมนั้น เราผู้ติดตามรู้ ติดตามดู ลมหายใจละเอียดเรารู้ว่ารายละเอียด ลมหายใจเบาสบาย เรารู้ว่าเบาสบาย พร้อมกับเดินจิต พิจารณาความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงระหว่างลมหายใจกับความรู้สึก คือเวทนา ลมหายใจยิ่งเบา ยิ่งละเอียด อารมณ์ใจเรายิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งสงบ อารมณ์สบาย อารมณ์ยิ่งสงบ จิตเรายิ่งผ่องใส กำหนดรู้ ทรงอารมณ์ในสภาวะแห่งอารมณ์สบาย ลมหายใจรายละเอียด เบาสบาย อารมณ์จิตเราเบาสบาย จดจ่ออยู่กับความสบาย ความสงบ

กำหนดรู้ว่ายิ่งจิตเข้าถึงสมาธิ เข้าถึงความสงบสูงเท่าไหร่ก็จะปรากฏความรู้สึกที่เป็นสุข ความสุขจากความสงบเมื่อจิตเราได้สัมผัสความสุขจากความสงบเราก็จะเกิดปัญญาในธรรม เกิดปัญญาที่รู้ว่าสิ่งใด อารมณ์ใด เป็นความเร่าร้อน เป็นความทุกข์ เป็นความแผดเผาใจของเราให้ดิ้นรนซัดส่าย อารมณ์จิตใดเป็นสุข เป็นความสงบเย็น

เมื่อจิตเกิดปัญญาในธรรม แค่ในการเจริญจิตในอานาปานสติ เราก็สามารถที่จะเจริญในมหาสติปัฏฐานทั้ง 4 ได้ครบ จุดสุดท้ายกายรู้ลม เวทนารู้อารมณ์ จิตรู้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิ ธรรมรู้ว่าธรรมใด อารมณ์จิตใด ก่อให้เกิดความสุขสงบ ธรรมใด อกุศลธรรมใด อารมณ์จิตใดก่อให้เกิดความทุกข์ ความเร่าร้อน สิ่งใดที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ความเร่าร้อน เราก็ห่าง ก็หาย ก็หลีกเลี่ยงจากการกระทบ พิจารณาละอารมณ์นั้นออกไปจากใจของเรา อานาปานสติก็ก่อให้เกิดปัญญาในวิปัสสนาญาณ

กำหนดจิตอยู่กับความสบายสงบของลมหายใจ ลมละเอียดเบา สงบ ใจเราสะอาดจากนิวรณ์ 5 ประการ ใจเราสะอาดเบาจากสรรพกิเลสทั้งหลายเข้าสู่ความสงบ ทรงอารมณ์ในสภาวะความสงบนั้น ทรงฌานในอานาปานสตินิ่งสงบ หัวใจสำคัญของอานาปานสติที่เราควรที่จะระลึกรู้และนำไปใช้ให้มีความคล่องตัวก็คือ อานาปานสติเป็นกรรมฐานที่เป็นเครื่องมือของใจเรา ในการระงับความกระวนกระวาย ความฟุ้งซ่าน ความคิดวุ่นวายปรุงแต่ง เมื่อจิตอยู่กับลมสบายจิตก็เข้าสู่ความสงบ

เมื่อจิตเข้าถึงความสงบ จิตก็ปราณีตควรแก่การสามารถใช้ความสงบความระงับในนิวรณ์ 5 มาพิจารณาในการตัดกิเลส คือการตัดเพราะร่างกายขันธ์ 5 ตัดสังโยชน์ 10 ประการ ตัดสิ่งที่เป็นอกุศลของจิต หรือแม้แต่พิจารณาในการตัดชาติภพ ปรารภในการออกจากสังสารวัฏคือพระนิพพาน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นกำลังในวิสัยของสุขวิปัสสโกหรือการเจริญจิตปฏิบัติในแนวทางของสุขวิปัสสโก คือไม่ต้องใช้ญาณเครื่องรู้ ความเป็นทิพย์มากมาย ทรงอารมณ์ในอานาปานสติสงบ เบา ละเอียด

จากนั้นเพิ่มกำลังใจ ยกจิตจากสงบเบา ลมหายใจละเอียด เป็นฌานที่ 2 มากำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่ง หยุดอกุศล หยุดความคิดทั้งหลาย ลมหายใจพลอยสงบระงับลง กำหนดว่าจุดที่หยุด จิตรวมเป็นหนึ่งเข้าถึงองค์แห่งฌานสมาบัติ คือเอกัคคตารมณ์และอุเบกขารมณ์ อุเบกขารมณ์ต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งปวง  รวมเป็นหนึ่งเดียว นิ่ง หยุด ทรงอารมณ์ ทรงกำลัง ประคับประคองฌานไว้ เพื่อให้ฌานนั้นมีความตั้งมั่น มีความคงตัว ทรงตัวอยู่ได้ นิ่งสงบ เบา ละเอียด จดจ่อ

จากนั้นเดินจิตอานาปานสติขึ้นสู่กสิณ การทำฌาน การทำสมถะจากกสิณ จากจุด ค่อยๆ ขยายกลายเป็นวงกลม จากเส้นวงกลม แปรสภาวะจาก 2 มิติกลายเป็น 3 มิติ คือการเป็นดวงแก้ว จากดวงแก้วปรากฏสภาวะกายเป็นดวงแก้วใสสว่าง จิตมีความตั้งมั่นอยู่กับภาพนิมิตกสิณ คือดวงแก้วที่ใส่สว่างนั้น และกำหนดเชื่อมโยงนิมิตกสิณกับจิตของเรา ให้เป็นหนึ่งคือเอกัคคตารมณ์ รวมเป็นหนึ่งอยู่กับกสิณ

จิตคือกสิณ กสิณคือจิต

กสิณมีพลานุภาพแห่งอิทธิวิธีในอภิญญา ในฤทธิ์มากมายเพียงใด จิตของเราก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่งกับอภิญญาจิต อภิญญาฤทธิ์ของกสิณนั้น

กำหนดให้จิตของเราคือดวงกสิณ แปรสภาวะสว่างขึ้นกลายเป็นเพชรประกายพรึก คือปฏิภาคนิมิตเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว มีเส้นแสงรัศมีเป็นแสนเส้นสายรุ้งพุ่งออกมาโดยรอบ 360 องศาจากดวงจิต เลยพ้นขอบเขตของรัศมีแสงของจิตที่ประภัสสร ปรากฏสภาวะบรรยากาศแห่งความเป็นทิพย์คลุมอาณาบริเวณ มีสภาวะเป็นเหมือนกับกากเพชรโปรยปรายรายรอบ ระยิบระยับแพรวพราวอยู่

ทรงสภาวะ ทรงอารมณ์จิตอันเข้าถึงปฏิภาคนิมิต จิตมีความผ่องใส จิตมีความสว่าง และก็กำหนดรู้ว่าสภาวะจิตนี้ก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร คือมีแสงสว่าง มีความผ่องใส มีความสุข ภาพนิมิตของจิต นิมิตของกสิณสัมพันธ์กับอารมณ์ใจ ยิ่งสว่าง ยิ่งมีรัศมีแผ่ออกมา  อารมณ์จิตเรารู้สึกว่าจิตเรามีความสุขล้นเปี่ยมอย่างยิ่ง และความรู้สึกอันเอิบอิ่มท่วมใจของความตรงนั้น มันเป็นเหมือนกับพลังงานของจิต ซึ่งมันอัดแน่นอยู่ในจิต อยู่ในภาพนิมิตกสิณนั้น ความรู้สึกเป็นพลังงานที่อัดแน่นมากมายมหาศาล

ความรู้สึกตั้งมั่นจดจ่อมีธรรมฉันทะ ยินดีกับการทรงอารมณ์ ยินดีที่จิตเราในขณะนี้อยู่ในสภาวะที่มีจิตตานุภาพอยู่เหนือสรรพกิเลสทั้งปวง จิตเดิมแท้เป็นประภัสสร แต่ครั้นกิเลสจรเข้ามาปกคลุมทำให้จิตนั้นเศร้าหมอง บัดนี้จิตของเราเป็นอิสระจากกิเลส แม้เพียงชั่วขณะที่เราทรงอารมณ์กรรมฐานทรงฌานสมาบัตินี้ แต่ ณ บัดนี้ จิตของเราสวยงามที่สุด เปร่งประกายที่สุด เปี่ยมพลังที่สุด จิตของเราเป็นสุขที่สุด ผ่องใสที่สุด อารมณ์จิตของเราขณะนี้เข้าถึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อจิตเราประภัสสรที่สุด อารมณ์แห่งอกุศลทั้งหลาย กิเลสทั้งหลาย นิวรณ์ทั้งหลาย ไม่มีในจิตของเรา อารมณ์จิตของเราตอนนี้ดีงามเป็นกุศลและท้ายที่สุดจิตนี้ผ่องแผ้วเบิกบานประภัสสรเจิดจรัส

เราทรงอารมณ์นี้ไว้ ทรงสภาวะนี้ไว้ ยินดีกับอารมณ์ กับสภาวะจิตเราที่เปี่ยมพลัง เปี่ยมความเอิบอิ่มเป็นสุข มีแต่ความผ่องใส ผ่องแผ้วเบิกบานนี้ รู้สึกว่าแสงสว่างของจิตเจิดจ้าเปล่งประกายไปทั่ว สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ทั้งจักรวาลมารวมกัน จิตของเราเปล่งประกาย แสงสว่างคลุมไปทั้งสามภพสามภูมิ

จากนั้นเราเพิ่มผนวกยกกำลังใจว่า แล้วคราวนี้แสงสว่างหรือรัศมีจิตของเรานั้นเป็นพลังงาน เป็นแสงสว่างที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่แสงแห่งมานะทิฐิ ความถือดี ความเก่ง ความอวดเก่ง ความรู้สึกว่าเราเก่ง เราเป็นเลิศ แต่รัศมีจิตของเรานั้นควบคุมกำกับไว้ด้วยกำลังแห่งพรหมวิหาร 4 คือรัศมีเป็นรัศมีเมตตา รัศมีเป็นรัศมีแห่งการมุทิตาจิต คลื่นนั้นแผ่กระแสแห่งความดีงามเป็นสุขสันติร่มเย็น แผ่กระจายไปทั่วสามภพสามภูมิ เมื่อคลื่นกระแสแห่งความเมตตาไปกระทบจิตดวงใด เราก็ปรารถนาให้แสงสว่างของความสุข บุญกุศล พลังงานแสงสว่าง ได้ก่อเกิดปรากฏแสงเทียนแห่งความสุขในดวงจิตที่กระแสรัศมีของจิตเราส่งไปถึง กระทบถึงเช่นกัน และในขณะเดียวกันกระแสรัศมีแห่งมุทิตา เมื่อกระทบกับจิตดวงใดในสามภพภูมิ เราก็โมทนาเฉพาะส่วนที่เป็นบุญ ส่วนที่เป็นกุศล ส่วนที่เป็นความดีงาม ส่วนที่เป็นความสุข ยินดีที่จิตทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้สร้างกุศล ได้สร้างความดี

ตอนนี้ก็ให้เราเปิดญาณเครื่องรู้ออกไปพร้อมกับคลื่น รัศมีแห่งมุทิตาจิตเราสัมผัสสรรพกุศล บุญทานบารมี ที่สาธุชนคนดีทั้งหลาย ได้สร้างบุญ สร้างกุศล ในที่ต่างๆ ใส่บาตรในวันสงกรานต์บ้าง สรงน้ำพระ ไหว้พระ ถวายสังฆทาน ปล่อยปลา หล่อพระพุทธรูป กราบสักการะปฏิบัติบูชา เจริญพระกรรมฐาน สิ่งใดเป็นบุญเป็นกุศลของดวงจิตทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย จิตเราพลอยเจริญมุทิตาไม่มีประมาณทั่วสามภพภูมิ

กำหนดทรงสภาวะที่จิตประกายเจิดจรัสที่สุด ผ่องใสประภัสสรที่สุดนี้ไว้ ตั้งนิมิต ตั้งอารมณ์กรรมฐาน ให้จิตมีความคงตัว มีความทรงตัว จิตเกิดกำลัง เกิดการเพาะบ่ม สะสมตบะเดชะ จิตตานุภาพแห่งเมตตา กระแสความสุขพลังงานที่อัดแน่นของจิต จิตเกิดจิตตานุภาพด้วยกำลังแห่งเมตตาอันบริสุทธิ์ เป็นสัมมาอภิญญา สัมมาอภิญญา สัมมาอภิญญา แผ่เมตตาสว่าง ทรงอารมณ์ผ่องใสไว้ จิตประภัสสรระยิบระยับแพรวพราว ใจยิ้ม กายยิ้ม จิตอิ่มเอิบ แสงสว่างจิตเจิดจรัสเต็มที่ ทรงสภาวะไว้

จากนั้นเรากำหนดจิต ว่าจิตของเรามีความสะอาด มีความบริสุทธิ์ เป็นจิตอันเข้าถึงเมตตา มุทิตา พรหมวิหาร 4 จิตเข้าถึงกุศล จิตเราสะอาดคู่ควรกับการตั้งจิตปฏิบัติบูชา ตั้งจิตรำลึกถึงพระพุทธองค์ ยามที่นึกภาพเห็นภาพพุทธนิมิต ก็กำหนดเชื่อมพุทธนิมิตกับกระแสพุทธานุภาพของพระพุทธองค์บนพระนิพพาน ไม่ว่าเราจะเห็นภาพพระพุทธรูปในจิตเป็นพุทธนิมิตรก็ดี ตาเห็นรูปจะเป็นภาพพระพุทธรูป ในภาพ ในแผ่นภาพ ในโทรศัพท์ ในหน้าจอหรือองค์พระพุทธรูปองค์พระพุทธปฏิมา คนอื่นเห็นเป็นภาพ คนอื่นเห็นเป็นวัตถุ คนอื่นเห็นเป็นก้อนอิฐ ก้อนหิน เห็นเป็นทองเหลือง เห็นเป็นงานศิลปะ แต่จิตเราต้องเข้าถึงความเป็นพุทธะ คือจิตเราถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพานทุกครั้ง ตาเห็นรูป จิตเห็นนาม ตาเห็นพระพุทธรูป จิตถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน ทำไว้จนเป็นปกติ ทำไว้จนเป็นธรรมดา ทำจนเป็นธรรมชาติ นั่นจึงจะเรียกได้ว่าเราเข้าถึงใต้สรณคมน์ ถึงพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ยามกราบก็กราบถึงพระพุทธเจ้า ยามทำบุญก็ทำบุญทำทานถึงพระพุทธเจ้า ยามสวดมนต์ก็สวดถึงพระพุทธเจ้า ยามเจริญพระกรรมฐานก็ถึงพระพุทธเจ้า

ดังนั้นจิตเราก็ได้ชื่อว่ามีสรณะ คือพระพุทธองค์เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัย จิตของเราเกาะพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงพิจารณาย้อนกลับดูในอดีต ว่าสมัยก่อนจิตก็เรามีความหยาบ มีความผิวเผิน ในการเข้าใจ ในการที่จิตเราจะสัมผัสกับพุทธานุภาพ พุทธบารมีของพระพุทธองค์  มาถึงตอนนี้จิตเรามีความละเอียดขึ้นไหม  ตัดวิจิกิจฉา  มีความตั้งมั่นในไตรสรณคมน์ จิตถึงพระพุทธองค์มากขึ้นไหม อันนี้มีผลกับการตัดสังโยชน์ 10

การที่เราบอกว่าเราได้ไตรสรณคมน์ แต่จิตเรายังมีความลังเลสงสัย กราบก็ยังกราบไม่ถึงพระพุทธเจ้า อาการกายกราบแต่จิตฟุ้งซ่านวุ่นวาย ไปที่ไหนก็ไม่รู้ กับจิตตั้งมั่นกราบถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน แท้จริงมันมีความแตกต่างกัน ในกำลังใจ ในผลลัพธ์ ในกำลังจิตอย่างสิ้นเชิง อากัปกริยาที่ปรากฏเหมือนกัน แต่ผลอานิสงส์กำลังจิต กำลังใจที่ใช้แตกต่างกัน ความหยาบความละเอียดประณีตแตกต่างกัน

พอเราพิจารณามีความเข้าใจ พิจารณาน้อมจนจิตเห็นจริง จิตเราก็จะยกระดับขึ้นสู่ความละเอียดประณีตขึ้น จิตถึงพระรัตนตรัย ถึงพระพุทธองค์ได้มากขึ้น เมื่อไหร่ที่จิตเราเข้าถึงพระพุทธองค์ เมื่อนั้นการที่เราจะใช้กำลังของมโนมยิทธิก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย เพราะเมื่อจิตเราถึงพระพุทธเจ้าอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ความรู้สึกที่ว่ากายทิพย์ของเราอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ก็กลายเป็นเรื่องที่ปกติ เพราะการที่ความรู้สึกของเราว่ากาย ที่เป็นกายภายในหรืออาทิตย์สมานกาย อยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ นั่นก็คือการใช้มโนมยิทธิ

ตอนนี้ก็ให้เราตั้งกำลังใจว่า ขออาราธนากำลังแห่งพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมตตาสงเคราะห์ยกจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน อยู่ท่ามกลางหน้ามหาสมาคมมันได้แก่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ท่ามกลางมหาสมาคมนั้น กำหนดเห็นกายทิพย์ ขอกายทิพย์จงปรากฏสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพ น้อมกราบทุกท่านทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน

จากนั้นกำหนดจิต ขอให้เกิดคนโททิพย์ เป็นแก้วใสสว่าง ตั้งจิตอธิษฐานขอให้น้ำในคนโททิพย์ที่เป็นแก้วนั้น เป็นน้ำทิพย์ น้ำอบ หอม ตั้งจิตว่าขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบ สรง สักการะปฏิบัติบูชาตรง มีโอกาสได้สรงน้ำพระพุทธองค์นับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ

ตอนนี้อธิษฐานจิต ให้กายทิพย์เราสว่างด้วยความปิติยินดี น้อมเป็นบุญ อธิษฐานขอวาระในวิถีแห่งวันสงกรานต์นี้ ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บรรจงสรงพระพุทธองค์เป็นมงคล เป็นมหามงคล และขอให้พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ที่เราความเคารพสักการะเต็มจิตเต็มใจนั้น ขอท่านเมตตาอำนวยพร เป็นพรพิเศษจำเพาะเจาะจงต่อจิตของเราด้วยเถิด

จากนั้นกำหนดจิต กายทิพย์ของเราบรรจงสรงที่ฝ่ามือขององค์พระ ที่ท่านตอนนี้เมตตายื่นขึ้นมาด้านหน้า ของเราทำเองนะ จะสรงองค์ใดบ้าง พระพุทธเจ้าองค์ใดในอดีตกาลผ่านมา ที่เรามีความเกี่ยวพัน เกี่ยวข้อง ก็ขอให้ท่านเมตตาปรากฏให้เราได้ทรงเป็นมหามงคลพิเศษ แตกต่างจากคนทั่วไป เวลาที่สรงแล้ว สังเกตดูว่าพระพุทธองค์ท่านลูบศีรษะเราไหม พร้อมกับให้พร กำหนดจิตนิ่งๆ สงบกำหนดรู้ด้วยญาณนะ พรใดหรืออธิษฐานที่เราขอขอจงปรากฏสัมฤทธิ์ ถือว่าเป็นพรของพระพุทธองค์ ทรงประสิทธิ์ประสาทเป็นพรพิเศษ

กราบขอพรนะ จะหลายองค์ก็ได้ ช้าๆ ละเอียดๆ จะได้ซึมซับเกิดญาณเครื่องรู้ว่าท่านเมตตาตรัส ท่านเมตตาสอน ท่านเมตตาให้พรอะไรกับเรา จะมากมายสักกี่พระองค์ เราก็สามารถที่จะขอกราบทรงน้ำทุกพระองค์ได้นะ

เมื่อสรงน้ำบนพระนิพพานจนสมควรแล้ว เราก็ขอพุทธานุญาตพระพุทธองค์ ให้เราได้มีโอกาสไปสรงเทพพรหมเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้เป็นใหญ่ ไล่ลงมาตั้งแต่ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ไปสรงท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อสรงท่านแล้วก็ขอพรพรหม พรพรหมนี่ถือว่าเป็นพรที่เหมือนกับประกาศิต ขอให้ท่านประสิทธิ์ประสาทพรพรหมลงสู่กระหม่อมของกายพระวิสุทธิเทพของเรา บางคนท่านเป่ายันต์ให้ บางคนท่านก็ให้พรอย่างอื่น แล้วเมื่อสรงกราบขอพรท่านท้าวสหัมบดีพรหมแล้ว

จุดต่อไปก็ขออนุญาต ขอพุทธานุญาตไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปสรงท่านปู่ท่านย่า ท่านยิ้มไหม ท่านดีใจไหมท่านหัวเราะรักพวกเราไหม ไปสรงท่านปู่ท่านย่า บางคนดีใจ กอดท่านอยู่บาง คนน้ำตาไหล ขออัญเชิญพี่ๆ ท้าวมหาราชทั้ง 4 เมตตานะ ปรากฏ ณ บริเวณพระแท่นของท่านปู่ท่านย่าพร้อมกัน ให้เราสรงอธิษฐานว่า สิ่งใดที่เคยล่วงเกินท่านทั้งหลาย สิ่งใดที่เคยขอให้ท่านมาช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ มาคุมทั้ง 4 ทิศ เราก็ขอกราบขมาและขอขอบคุณบุญที่เราทำ ที่เราสร้าง ก็ขอน้อมถวายให้ท่านปู่ท่านย่า เดี๋ยวสำหรับบางคนก็เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ แล้วก็ท่านพี่ๆ ท้าวมหาราชทั้ง 4 และอินทกะทั้งหลายที่ท่านเมตตาเกื้อกูลเรา คราวนี้ท่านปู่ท่านย่า เราลองถามซิ ขอพรท่าน เป็นพรปีใหม่นะ ท่านก็ให้ลูกหลานทุกคนอดทนไว้ รอให้ผ่านพ้นวิบากกรรมทั้งหลายไป มันเป็นวิบากของโลก มันเป็นวิบากของบ้านเมือง ผ่านพ้นไปได้เมื่อไหร่ก็เข้าสู่ยุคชาววิไล

คราวนี้ก็น้อมจิตกราบลาท่าน คราวนี้ไปสรงลงไปข้างล่าง ไปสรงท่านปู่ศรีสุทโธพญานาค ท่านปู่ท่านย่า แล้วก็น้อมจิตไปสรงหลวงปู่อุปคุต ขอพรท่านปู่ศรีสุทโธและท่านย่า ขอท่านโมทนาบุญ ขอท่านดูแลรักษา อวยชัยให้พรเรา ขอพรหลวงปู่อุปคุต ขอให้ท่านเมตตาปกป้องข้าพเจ้า จากมารทั้งปวง ทั้งมารภายนอกและบ้านภายในจิต ทั้งมารที่แอบแฝงมายังบุคคลรอบกายข้าพเจ้า ขอท่านเมตตาสงเคราะห์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งใดที่เป็นงานในพระพุทธศาสนา งานสำคัญ ขอท่านเมตตาปกปักรักษาคุ้มครอง ขอพรแล้วก็ตั้งจิตว่า พรอันประเสริฐนี้จงมีต่อเรา

คราวนี้ลงไปลึกกว่านี้ มีอีกท่านหนึ่งลงไปกราบสรงน้ำท่านลุงพุฒ พระยายมราช กำหนดน้อมจิตว่าบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ ที่ข้าพเจ้ากระทำบำเพ็ญขอน้อมถวายถึงลุงพุฒ ขอลุงพุฒเป็นพยาน ขอลุงพุฒเมตตาเป็นกำลังใจในการปิดอบายภูมิให้กับข้าพเจ้า ขอลุงพุฒเมตตาเป็นพยานบุญให้กับข้าพเจ้า หากข้าพเจ้ามีวิบากเข้ามาขัดขวางในยามที่ตาย ขอให้ลุงพุฒเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

เมื่อสรงน้ำทุกท่านแล้ว ก็ตั้งจิตกราบลา เมื่อกราบเสร็จแล้วกำหนดพุ่งจิตกลับขึ้นไปบนพระนิพพาน คราวนี้ให้เรากำหนดจิตอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอบารมีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระราชพรหมยาน เมตตาสงเคราะห์ขอเมตตาทำพิธีพิเศษ ทำพิธีบังสุกุลสะเดาะเคราะห์ให้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย ในกำลังพระกรรมฐาน ในกำลังแห่งพุทธานุภาพเป็นพิเศษด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดจิต อธิษฐานให้เห็นกายเนื้อเราทอดยาวอยู่เบื้องหน้า ทอดกายนอนอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หลวงพ่อ และก็กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพของเรายืนพิจารณาปลงสังขารอยู่ จากนั้นกำหนดจิต เห็นกายสังขารที่เป็นขันธ์ 5 ค่อยๆ ตายค่อยๆ สลายตัวค่อยๆ กลายเป็นอสุภะ เป็นซากศพ มีความเน่าเปื่อยผุพังจากซากศพค่อยๆ เน่าเปื่อยจนเหลือแต่โครงกระดูก จากโครงกระดูกค่อยๆ ผุก่อนลงไปกลายเป็นผุยผง กลายเป็นผงที่มีทรงให้เห็นว่าเป็นรูปร่างของมนุษย์ เมื่อผุกร่อนลงไปจนถึงที่สุด อธิษฐานขอให้เห็นผ้าขาว เป็นผ้าบังสกุลปรากฏคลุมสิ่งที่เคยเป็นกายขันธ์ 5 นี้

กำหนดพิจารณาว่าการสลายไป พร้อมกับกรรม พร้อมกับวิบาก พร้อมกับบาปเคราะห์ทั้งหลาย เคราะห์ทั้งหลาย เวรกรรมเวรภัยทั้งหลาย ตายไปกับกายนี้ จากนั้นอธิษฐานขอท่านทั้งหลาย เมตตาสวดบังสุกุล สวดบังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย กำหนดในจิต ในภาคทิพย์ กายทิพย์เราก็พิจารณาว่าสังขารที่มันมีความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน ไปยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็แปรสภาวะเป็นซากศพ เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ไร้แก่นสารเช่นนี้ จิตปล่อยวาง ละวางจากขันธ์ 5 ตัดจากความเกาะ ความยึดมั่นถือมั่นได้ เราก็คลายจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จากการตัดกายนี้ ละความยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ เห็นโทษ ทุกข์ภัยในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้

เมื่อพิจารณาพร้อมกับหลวงพ่อเมตตาสวดบังสกุลเสร็จแล้ว ก็ขอหลวงพ่อแม่การซักผ้า เมื่อชักผ้าขาวผ้าบังสุกุล กระตุกออกก็ปรากฏเป็นกายเนื้อเราขันธ์ 5 กายเนื้อปรากฏขึ้นใหม่ โรคภัยไข้เจ็บหายไป กายเนื้อมีความผ่องใส มีราศีจับ ลุกขึ้นประนมก้มกราบใช้กายเนื้อกราบ  มีทั้งกายทิพย์ กายเนื้ออยู่ ให้กายเนื้อนี้ก้มกราบแทบเบื้องพระบาทของหลวงพ่อ กราบแทบเบื้องพระบาทพระพุทธเจ้า พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่า ตราบที่เรายังมีขันธ์ 5 กายเนื้ออยู่ในโลกมนุษย์ใบนี้ บัดนี้เราได้เกิดใหม่เป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ เราตั้งใจ ตั้งกำลังใจ ตั้งกำลังใจใหม่ที่จะรักษาศีล เราตั้งกำลังใจใหม่ในการยกกำลังใจ ในการให้ทาน ตั้งกำลังใจใหม่ให้ชีวิตอยู่ในขอบเขตแห่งคุณงามความดี อยู่ในมงคล 38 ประการ ละเว้นการพบ การคบกับคนที่เป็นคนชั่วคนพาล คบแต่บัณฑิต คือบุคคลที่มีศีลมีธรรม ชี้นำเป็นกัลยาณมิตรนำพาเราสู่คุณธรรมความดี ยกบารมี ยกจิตขึ้นเป็นอาทิตย์ในมงคลทั้ง 38

จากนั้นอธิษฐานให้โรคภัยไข้เจ็บ กายใหม่ที่เกิดใหม่นี้ เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกส่วน มีความสะอาดบริสุทธิ์ มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง เราได้เกิดใหม่ เหมือนเกิดใหม่ ตั้งจิตกราบ แล้วก็ตั้งใจว่าขอกายที่เกิดมาใหม่นี้ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เกิดใหม่แล้ว ขอให้นับแต่นี้สายสมบัติ สายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัตินับอนันต์ ได้มาตอบสนอง ได้มาส่งผลกับการเกิดใหม่ชาตินี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ ขอจงมีแต่ความคล่องตัว มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าด้วยเทอญ สะเดาะเคราะห์ บังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย บนพระนิพพาน

คราวนี้น้อมจิตนะ ให้กายเนื้อ ภาคของกายเนื้อพุ่งกลับลงไปที่กายเนื้อบนโลกมนุษย์ น้อมนำกระแสแห่งพระนิพพานลงมา กายทิพย์ที่ขึ้นมาทำวิชาสะเดาะเคราะห์ บังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย บนพระนิพพาน ขอจงมีผลอัศจรรย์วิเศษเต็มกำลังเกิดผลด้วยกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เป็นบารมีของพระท่านสงเคราะห์ด้วยเทอญ  สาธุ สาธุ สาธุ

พุทธัง ประสิทธิเม ธัมมัง ประสิทธิเม สังฆัง ประสิทธิเม

จากนั้นกายทิพย์ของเรา กายพระวิสุทธิเทพยังอยู่บนพระนิพพาน ตั้งกำลังใจว่า ขอน้อมกระแสจากพระนิพพาน ในวันมหาสงกรานต์นี้ เป็นมงคลขึ้นปีใหม่ไทย ก็ขอให้เป็นการเริ่มศักราชใหม่แห่งความดี ขอเริ่มเปิดบารมีขึ้นสู่ยุคชาววิไล น้อมกระแสพระนิพพาน อาราธนาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพเป็นแสงสว่างลงมายังโลกมนุษย์ กระแสบุญกุศลลงมายังประเทศชาติบ้านเมือง ยังศาสนา วัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุพระเจดีย์ พระอัฐิธาตุ พระอรหันตธาตุ กระแสสัมมาทิฏฐิน้อมลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4

น้อมกระแสบุญจากพระนิพพาน ลงมาพิทักษ์รักษาคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ และบุคคลที่ตั้งจิตทำนุบำรุงชาติ ศาสนา สถาบันบ้านเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอจงมีกำลังบุญอันศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา บุคคลใดที่คิดร้ายคิดอันตราย ทำร้าย ทำลาย ชาติ ศาสนา พระกษัตริย์ สร้างความแตกแยกในประเทศชาติ เป็นสังฆเภทแห่งแผ่นดิน เป็นสังฆเภทในพระพุทธศาสนา ทำสังฆเภทในสถาบันพระมหากษัตริย์ กับประชาชนพสกนิกร ก็ขอให้เป็นไปด้วยอำนาจตามกฎของกรรม จิตเราอุเบกขา จิตเรากำหนดรู้เพียงแต่ว่า ทุกสิ่ง สิ่งใดที่เป็นกรรมก็ย่อมเกิดผลกรรม ผู้ทำร้าย ทำลายส่วนร่วมก็เป็นกรรมอันอยู่ในสายอนันตริยกรรม ผู้ใดทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บ้านเมือง น้อมนำผู้คนให้เข้าสู่ศีล สู่ธรรม บุคคลนั้นก็เข้าถึงกรรม คือกรรมดี กุศล ซึ่งมีผลคือความสุขกายสุขใจ เกิดเมตตามหานิยม เกิดมหาโภคทรัพย์ เกิดสวัสดิมงคล เกิดบุญกุศล ที่เทวดาพรหมทั้งหลายคุ้มครองรักษา ทั้งในยามหลับและยามตื่น ไปในทุกสถานที่ก็มีแต่บุคคลที่ต้อนรับ น้อมจิตน้อมใจว่านับแต่นี้ชีวิตของข้าพเจ้าทั้งหลาย มีแต่มหาอุดมมงคลสวัสดิ์ ประภัสสรทั้งกายและจิต เจริญรุ่งเรืองยิ่งทั้งทางโลกทางธรรม

น้อมจิตอธิษฐานกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านทุกๆ พระองค์ กราบหลวงพ่อด้วยความเคารพด้วยความนอบน้อม จิตอิ่มผ่องใส เราได้รับพรในวาระสงกรานต์เต็มกำลัง อิ่มใจจากการได้สรงน้ำทิพย์พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ หลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลาย เทพพรหมเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพกราบไหว้ทั้งหลาย ได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ นับแต่นี้กำหนดใจว่ามีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น สิ่งดีเกิดขึ้นแล้วก็เกิดซ้ำเกิดซ้อน ดีแล้วดีอีกสุ ขแล้วสุขอีก มีลาภแล้วมีลาภดี มีโชคลาภ มีโชคดี มีแต่คนรัก มีแต่คนเมตตา

จากนั้นเราก็พุ่งจิตกลับมาบนโลกมนุษย์ พร้อมกับน้อมกระแสจากพระนิพพาน ลงมาฟอกธาตุขันธ์ กระแสพระนิพพานชำระล้างฟอกร่างกายธาตุขันธ์ทั้งหมด ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กลายเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูกทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใสสว่าง หลอดเลือด เส้นเอ็นทั่วร่างกายสะอาดใส ไหลเวียนหมุนเวียน สร้างสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกส่วนกลายเป็นแก้วใส ฟอกธาตุขันธ์อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกายสะอาด กระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอก เซลล์ผิดปกติ สลายตัวไป วิบากกรรมทั้งหลายคลายตัว สลายตัวไป บุญกุศลหลั่งไหลท่วมท้น มาทดแทน มาแทนที่ กระแสกุศล กระแสบุญหลั่งไหลท่วม ล้นจิตล้นใจของเรา สว่าง

จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตร ที่ปฏิบัติธรรม เจริญพระกรรมฐาน ปฏิบัติบูชา เจริญจิตตภาวนาและรับพรในวันสงกรานต์ ในวาระนี้ โมทนาสาธุกับกำลังจิตที่ยกขึ้นบนพระนิพพาน กำลังจิตที่เกาะในพระรัตนตรัย เกาะในพระนิพพาน ขอบุญจงสำเร็จประโยชน์ต่อทุกท่าน

จากนั้นจึงค่อยๆ ถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ

หายใจเข้าช้าลึกยาว หายใจเข้าพุท ออกโท ครั้งที่ 2 ธัมโม ช้าลึกยาว ครั้งที่ 3 สังโฆ

กำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ประสิทธิ์ประสาท ประสิทธิเม ทั้งกาย วาจา ใจของเราทุกคน มีแต่ความผ่องใสมี แต่ความเจริญรุ่งเรือง

จากนั้นค่อยๆ ลืมตาช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม ด้วยความอิ่มใจ ด้วยจิตอันเป็นสุข สว่างเป็นแก้วประกายพรึก  จิตมีพระรัตนตรัยตั้งมั่น จิตมีแต่บุญกุศล ขึ้นปีใหม่นี้ กำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ประสิทธิ์ประสาท พรพรหมประสิทธิ์ประสาท พรแห่งท่านปู่ท่านย่าพระอินทร์ประสิทธิ์ประสาท พรแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายประสิทธิ์ประสาท

สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย วันนี้ก็แจ้งข่าวเล็กน้อยว่าการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสน วันหล่อจัดขึ้นที่โรงหล่อป้าจำเนียร ได้ประมาณวันที่วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2568 จริงๆ ก็อยากให้เราทุกคนได้มีโอกาสไปร่วมในงานหล่อ เพราะว่าจะได้มีโอกาสได้กราบครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระอาจารย์หนุน วัดพุทธโมกข์ท่านด้วย เพราะท่านเมตตารับนิมนต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรายละเอียดของการจัดงานในการหล่อ ก็จะได้จัดทำประชาสัมพันธ์โดยละเอียดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แบบเป็นทางการ แล้วก็การร่วมบุญ ใครที่มีกำลัง ก็อยากขอให้ช่วยกันเป็นต้นบุญ เป็นผู้นำบุญ สายบุญ ร่วมสร้าง ยังต้องใช้ปัจจัยอีกมากพอสมควร แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องชำระเงินอีกก้อนหนึ่งให้กับทางโรงหล่อ ก่อนถึงวันหล่อ อันนี้ก็ยังสามารถทำบุญค่อยๆ สะสมมาได้เรื่อยๆ

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน วันนี้ก็ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานในวาระวันสงกรานต์และเราก็ได้โอกาสความเป็นทิพย์เป็นพิเศษ ซึ่งการที่เราได้มีโอกาสนี้ก็ เป็นเมตตาของพระพุทธองค์ ท่านก็ให้ทำแบบนี้ อาจารย์ก็นำไปแบบนี้

ดังนั้นการที่เราทำพิธีสะเดาะเคราะห์แบบนี้ ก็ทำด้วยภาพทิพย์ คือกายทิพย์เราได้เจริญจิต ทั้งสะเดาะเคราะห์ ทั้งบังสุกุล ทั้งได้สรงน้ำในภาพที่เต็มกำลัง ก็ถือว่ามีโอกาสดีมากกว่าคนอื่น ที่เขาไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย พบกันใหม่วันอาทิตย์ สัปดาห์หน้า

สำหรับวันนี้ขอโมทนาบุญกับทุกคน สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page